วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

The new iphon 5


        สำหรับปีนี้ สมาร์ทโฟนที่มีคนรอมากที่สุดคงหนีไม่พ้น iPhone 5 หรืออาจใช้ชื่อเรียกในขณะนี้ว่า The new iPhone ก็คงไม่ผิดนัก โดยข่าวลือในขณะนี้ มีความเป็นไปได้ดังนี้
 
  • คาดว่าเปิดตัว iPhone 5 ช่วงวันที่ 12 กันยายน
  • วางขาย iPhone 5 หรือ The new iPhone ในวันที่ 21 กันยายน
  • ส่วนราคาของ iPhone 5 หรือ The new iPhoneคาดกันว่าน่าจะเริ่มต้นที่ราคา 20,900 บาท แทนที่รุ่นเก่าแน่นอน
  • มีความเป็นไปได้สูงที่ iPhone 5 หรือ The new iPhone จะมาพร้อมกับจอขนาดใหม่ และมีขนาดเครื่องบางลง
  • คาดว่า iPhone 5 หรือ The new iPhone จะรองรับการเชื่อมต่อ 4G LTE ด้วย
  • มีแนวโน้มว่าพอร์ต Dock Connector ของ iPhone 5 หรือ The new iPhone จะเปลี่ยนไปใช้แบบที่มีขนาดเล็กลง ทำให้ไม่สามารถใช้สายหรืออุปกรณ์ร่วมกับ iPhone รุ่นปัจจุบันได้
  • SPEC ล่าสุดของ iPhone 5








รถสปอร์ต ^O^
















ขนมไทย

ข้าวเหนียวมะม่วง 




  เครื่องปรุง + ส่วนผสม
* มะม่วงสุก 3 ลูก
* ข้าวเหนียว 1 กิโลกรัม
* หัวกะทิ 450 กรัม
* เกลือป่น 3/4 ช้อนชา
* น้ำตาลทราย 550 กรัม
* ใบเตย 3-5 ใบ
* ถั่วทอง 5 ช้อนโต๊ะ
* หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง (สำหรับทำน้ำราด)
* เกลือป่น 1/4 ช้อนชา (สำหรับทำน้ำราด)





วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. นำข้าวเหนียวไปล้างและแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นนำไปสะเด็ดน้ำ
2. นำผ้าขาวบางรองไว้ในซึ้งหรือหม้อนึ่ง แล้วจึงนำข้างเหนียววางลงบนผ้าขาวบาง จากนั้นนำไปนึ่งจนข้าวเหนียวสุก
3. ในหม้อขนาดเล็ก ใส่น้ำตาล, เกลือป่น (3/4 ช้อนชา) และหัวกะทิ และนำไปตั้งบนไฟอ่อนๆ คนจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี จากนั้นจึงใส่ใบเตยลงไป ทิ้งไว้สักพักจึงปิดไฟ
4. ในชามขนาดกลาง ใส่ข้าวเหนียวที่นึ่งไว้จนสุกดีแล้วลงไป จากนั้นจึงใส่น้ำกะทิที่เคี่ยวไว้ในขั้นตอนที่สามตามลงไป คนจนส่วนผสมเข้ากันทั่ว และทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาที
5. ในระหว่างที่รอ เตรียมทำน้ำกะทิราดหน้าโดย ผสมหัวกะทิ (2 ถ้วยตวง) และเกลือป่น (1/4 ช้อนชา) ลงในหม้อขนาดเล็ก และนำไปตั้งบนไฟอ่อนๆ คนจนเกลือละลายทั่ว จึงปิดไฟ
6. ปอกมะม่วงและจัดใส่จาน เวลาเสริฟ ตักข้าวเหนียวใส่จานจากนั้นโรยหน้าด้วยน้ำราดกะทิและถั่วทอง ควรเสริฟทันทีหลังจากปอกมะม่วงเสร็จใหม่ๆ





ขนมชั้น



  เครื่องปรุง + ส่วนผสม ขนมหวานไทย
* แป้งข้าวเจ้า 2 ถ้วยตวง
* แป้งท้าวยายม่อม 2 ถ้วยตวง
* น้ำตาลทราย 5 ถ้วยตวง
* น้ำลอยดอกมะลิ 2 ถ้วยตวง
* กะทิ 6 ถ้วยตวง
* น้ำดอกอัญชัญ 2 ช้อนโต๊ะ  (หรือน้ำใบเตยคั้นสด,
   หรือใช้สีผสมอาหารตามแต่สีที่ต้องการ)




วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน

1. นำดอกอัญชันล้างน้ำให้สะอาด นำไปปั่นใส่น้ำแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง เพื่อเตรียมน้ำดอกอัญชัญ กรณีต้องการทำสีเขียวจากใบเตย ก็นำเอาใบเตยไปล้างให้สะอาดและนำไปปั่นใส่น้ำและกรองด้วยผ้าขาวบาง กรณีต้องการสีอื่น อาจใช้สีผสมอาหารแทน
2. นำน้ำลอยดอกมะลิไปตั้งบนไฟอ่อนๆ ผสมน้ำตาลทรายลงไป คนจนละลายดีเสร็จแล้วทิ้งไว้ให้เย็น
3. นำแป้งทั้งสองชนิด ผสมกับกะทิ นวดให้เหนียว จากนั้นใส่น้ำลอยดอกมะลิที่ผสมน้ำตาลแล้ว (ขั้นตอนที่ 2) ลงไปผสมให้เข้ากัน
4. แบ่งแป้งที่ผสมแล้วออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกแบ่งไว้ทำสีขาว และส่วนที่สอง ไว้ทำสีม่วงโดยเติมน้ำดอกอัญชัน (น้ำใบเตยหรือสีผสมอาหาร)ลงไปคนให้เข้ากัน
5. นำถาดที่ต้องการ (หรือแบบพิมพ์ที่เตรียมไว้) ใส่บนลังถึงตั้งบนไฟแรง ๆ พอน้ำเดือดเปิดฝา ตักแป้งสีขาวเทใส่ลงในถาดเกลี่ยให้ทั่วถาดบางที่สุด ปิดฝาเพื่อให้สุกประมาณ 5 นาที เปิดดูแป้งจะมีลักษณะใส จากนั้นตักแป้งสีม่วง (หรือสีที่ผสมลงไป) ใส่ลงไป อีก ทำสลับกันจนแป้งหมด (เคล็ดลับ : ควรใช้ภาชนะที่มีความจุเท่ากันในการตวงแป้งเทแต่ละชั้น เพื่อที่จะได้แป้งที่มีความหนาเท่า ๆ กัน)
6. นึ่งจนขนมสุกทั้งหมด แล้วยกลงทิ้งไว้ให้เย็นประมาณ 2 ชั่วโมงจึงตัดเป็นชิ้นเพื่อเสริฟ (เคล็ดลับ : ก่อนที่จะเทแป้งเพื่อทำชั้นต่อไปทุกครั้ง จะต้องแน่ใจว่าขนมในชั้นล่างนั้นสุกแล้วจริง ๆ ไม่เช่นนั้น แป้งชั้นนั้นจะไม่สุกเลย ถึงแม้จะใช้เวลานึ่งนานเท่าใดก็ตาม)




ขนมน้ำดอกไม้



  เครื่องปรุง + ส่วนผสม

* แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วยตวง
* แป้งเท้ายายม่อม 1 ช้อนโต๊ะ
* น้ำลอยดอกมะลิ 2 1/2 ถ้วยตวง
* น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วยตวง
* สีผสมอาหาร (ตามความชอบ)




 วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน

1. ผสมแป้งข้าวเจ้าและแป้งเท้ายายม่อม จากนั้นนำไปร่อนและพักทิ้งไว้
2. นำน้ำลอยดอกมะลิและน้ำตาลทรายไปตั้งในหม้อบนไฟอ่อนๆ คนจนผสมกันทั่วและน้ำตาลละลายดีจึงปิดไฟ ทิ้งไว้ให้เย็น
3. นำน้ำเชื่อมและแป้งผสมกันทีละน้อย คนจนส่วนผสมเข้ากันดี จึงใส่สีผสมอาหารลงไป ควรผสมให้เป็นสีโทนอ่อนจะน่าร้บประทานมากกว่าสีเข้ม 
4. นำแบบพิมพ์ที่ต้องการไปนึ่งให้ร้อนประมาณ 10 นาที จากนั้นจึงหยอดน้ำแป้งลงในแบบพิมพ์ที่ต้องการ แล้วนำไปนึ่งประมาณ 15
นาทีจนสุก ทิ้งไว้ให้เย็น แคะออกจากแบบ จัดใส่จานเสริฟ





ขนมลูกชุป




 เครื่องปรุง + ส่วนผสม

* ถั่วเขียว 450 กรัม
* น้ำตาลทราย 200 กรัม (สำหรับผสมถั่ว)
* น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ (สำหรับทำน้ำวุ้น)
* น้ำกะทิ 400 กรัม
* วุ้นผง 3 ช้อนโต๊ะ
* น้ำเปล่า 3 ถ้วยตวง (สำหรับทำน้ำวุ้น)
* สีผสมอาหาร
   (อย่างน้อยแม่สี 3 สี : สีแดง, สีเหลืองและน้ำเงิน),
   จานสีและพู่กัน
* ไม้จิ้มฟัน
   (สำหรับเสียบถั่วที่ปั้นแล้วเพื่อแต่งสีและจิ้มลงในน้ำวุ้น)
* โฟม
  (สำหรับเสียบถั่วปั้นระหว่างทำ ถ้าวางบนพื้นจะเสียทรง)




 วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน


1. นำถั่วเขียวเลาะเปลือกมาทำความสะอาด และแช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้นจึงนำไปนึ่งให้สุก ใช้เวลาประมาณ 15 นาที)
2. เมื่อถั่วเขียวสุกดีแล้ว ให้นำไปใส่ในเครื่องปั่นไฟฟ้า พร้อมกับน้ำตาลทรายและน้ำกะทิ ปั่นจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี
3. จากนั้นจึงเทส่วนผสมลงในกระทะทองเหลือง (หรือกระทะเคลือบเทฟลอนก็ได้)และตั้งบนไฟอ่อนๆ ค่อยๆกวนจนข้นและเหนียว (ใช้เวลาประมาณ 20 - 30 นาที) จึงปิดไฟ และทิ้งไว้ให้เย็น (ถั่วต้องแห้ง มิเช่นนั้นจะไม่สามารถนำไปปั้นได้)
4. ก่อนปั้นให้นวดส่วนผสมทั้งหมดอีกครั้งจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว จากนั้นจึงปั้นให้เป็นรูปทรงตามใจชอบ (ผัก, ผลไม้หรือสัตว์น่ารักๆ) เมื่อปั้นเสร็จให้เสียบไม้จิ้มฟันรอไว้ ควรปั้นส่วนผสมทั้งหมดให้เสร็จเรียบร้อยก่อน ถั่วที่ปั้นเสร็จแล้วควรห่อไว้ด้วยผ้าขาวบางชุบน้ำหมาดๆ
5. ผสมสีผสมอาหารตามต้องการ แล้วจึงบรรจงแต่งสีลงบนถั่วปั้นให้เหมือนจริง หรือตามแต่ความชอบ
6. ทำน้ำวุ้นโดยผสมน้ำเปล่า, ผงวุ้นและน้ำตาล ลงในหม้อ นำไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง หมั่นคนอย่างสม่ำเสมอ รอจนส่วนผสมเดือด ช้อนฟองที่ลอยหน้าออก จึงหรี่ไฟลง
7. นำถั่วปั้นที่แต่งสีแล้วไปชุบในน้ำวุ้น ควรชุบประมาณ 2 - 3 ครั้ง ระหว่างชุบวุ้นต้องอุ่นน้ำวุ้นด้วยไฟอ่อนเพื่อไม่ให้วุ้นแข็ง ถ้าไม่พอก็ผสมน้ำวุ้นขึ้นใหม่ตามอัตราส่วนข้างต้น
8. นำลูกชุบออกจากไม้ิจิ้มฟัน ตัดแต่งเศษวุ้นส่วนเกินออกด้วยกรรไกร จัดใส่จาน เสริฟเป็นของว่างในวันสบายๆได้ทันที





อาหารไทย 4 ภาค

อาหารไทยเป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมานาน แต่แม้จะมีเอกลักษณ์และความโดดเด่นจากส่วนผสมจากสมุน ไพรแต่อาหารในแต่ละภูมิภาคก็มีความแตกต่างกัน




อาหารไทยภาคเหนือ 

             อาหารดั้งเดิมของภาคเหนือ มีข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก นิยมใช้พืชตามป่าเขาที่ขึ้นเองตามธรรมชาติมาปรุงอาหา ร เนื้อสัตว์ได้จากท้องทุ่งและลำน้ำ อาทิเช่น กบ เขียด อึ่งอ่าง ปู ปลา หอย ไก่ หมู และเนื้อ คนเหนือไม่นิยมใช้น้ำตาล แต่จะใช้ความหวานจากส่วนผสมที่ใช้ทำอาหาร เช่น ความหวานจากผัก ปลา หรือมะเขือส้ม 
             กรรมวิธีการปรุงอาหาร มักจะปรุงให้สุกมากๆ อาหารประเภทผัด หรือต้ม จะปรุงจนกระทั่งผักมีความนุ่ม และมีเครื่องปรุงรสเฉพาะของภูมิภาค เช่น น้ำปู๋ ซึ่งได้จากการเอาปูนาตัวเล็กๆ เอามาโขลก แล้วนำไปเคี่ยว กรองเอาแต่น้ำ ใส่ข่า ตะไคร้ เคี่ยวต่อจนข้น ถั่วเน่าแผ่น ถั่วเหลืองต้มหมักกับเกลือจนนุ่ม นำไปโม่แล้วละเลงเป็นแผ่น ตากแดดให้แห้ง ใช้แทนกะปิ ผักและเครื่องเทศที่ใช้เป็นผักเฉพาะถิ่น 
             ภาคเหนือมีเครื่องเทศของเขา ส่วนใหญ่จะไม่ใช้กะปิเขาจะใช้เป็นถั่วเน่าแทน…จะมีอา หารเฉพาะหลายอย่าง เช่น ข้าวซอย น้ำพริกหนุ่ม แคบหมู เป็นลักษณะเด่นของอาหารทางภาคเหนือ แต่เขาก็ยังจะมีพวกปิ้งย่างอย่างพวกหมูเขาก็จะหมักแล้วห่อใบตองปิ้งย่าง





อาหารไทยภาคอีสาน
            อาหารอีสาน เป็นอาหารที่เรียบง่ายเช่นเดียวกับวิถีการดำเนินชีวิ ตของชาวอีสาน ในแต่ละมื้อจะมีอาหารปรุงง่ายๆ 2-3 จาน มีผักเป็นส่วนประกอบหลัก เนื้อสัตว์ส่วนใหญ่เป็นปลา หรือเนื้อวัวเนื้อควาย อาหารพื้นบ้านอีสานส่วนใหญ่มีรสชาติออกไปทางเผ็ด เค็ม และเปรี้ยว เครื่องปรุงสำคัญที่แทบจะขาดไม่ได้เลย คือ ปลาร้า ชาวอีสานเรียก "ปลาแดก" เป็นส่วนประกอบหลักของอาหารทุกประเภท อาหารจะมีลักษณะแห้ง ข้น หรือมีน้ำขลุกขลิก ไม่นิยมใส่กะทิ รสชาติอาหารจะเข้มข้นเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด

            รสชาติทางอีสานออกไปทางรสค่อนข้างจัด วัตถุดิบก็จะต่างกันมีการเอาข้าวไปคั่วให้หอมมาผสมเป็นน้ำตกหรือทำลาบ

เขาจะใช้ปลาร้าเข้ามามีส่วนร่วมในการปรุงอาหาร ปลาร้ามีรสเค็มและมีกลิ่นหอมเฉพาะ บางทีคนอีสานทำอาหารแต่ขาดปลาร้า อาหารก็จะไม่ใช่ลักษณะของเขา อย่างส้มตำก็ต้องเป็นส้มตำปลาร้า ภาคอีสานบางทีก็คล้ายๆ กับภาคเหนือ สมมติถ้าเขามีปลาก็จะต้มใส่ใบมะขามใส่ตะไคร้

             ชาวอีสานนิยมกินข้าวเหนียวเป็นหลัก และมีน้ำปลาร้าปรุงในอาหารแทบทุกชนิด มีศัพท์การปรุงหลายรูปแบบ เช่น ลาบ ก้อย หมก อ่อม แจ่ว จุ๊ ต้มส้ม ซุป เป็นต้น





อาหารไทยภาคใต้
           อาหารหลักของคนภาคใต้คือ อาหารทะเล และกลิ่นคาวโดยธรรมชาติของปลา หรืออาหารทะเลอื่นๆ ทำให้อาหารของภาคใต้ต้องใช้เครื่องเทศโดยเฉพาะ เช่น ขมิ้น เป็นสิ่งที่แทบจะขาดไม่ได้เพราะช่วยในการดับกลิ่นคาว อาหารภาคใต้จึงมักมีสีออกเหลือง เช่น แกงไตปลา แกงส้ม แกงพริก ปลาทอด ไก่ทอด ซึ่งมีขมิ้นเป็นส่วนผสมทั้งสิ้น และมองในอีกด้านหนึ่ง อาหารส่วนใหญ่มีรสชาติเผ็ดจัด และนิยมใส่เครื่องเทศมาก 

           อาหารส่วนใหญ่เป็นพวก กุ้ง หอย ปู ปลา จะเน้นเครื่องเทศเป็นสำคัญ อาหารภาคใต้จะไม่เน้นรสหวานจะเป็นรสจัด เค็มจัด เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด และเน้นใส่ขมิ้นในอาหารทุกชนิด เครื่องปรุงของเขาเน้นกะปิ ส่วนที่ปรุงรสเปรี้ยวจะไม่ค่อยใช้มะนาว จะใช้เครื่องเทศของเขา




ส่วนภาคตะวันออก
            มีดินแดนติดทะเล คนแถบนี้นิยมบริโภคอาหารทะเล และกินผักพื้นบ้าน มีเครื่องเทศสมุนไพรเฉพาะถิ่น และมีผลไม้หลากหลาย การปรุงอาหารคาวบางอย่างจึงนิยมใส่ผลไม้ลงไปด้วย อีกทั้งผสมผสานการปรุงจากชาวจีน อาหารของภาคนี้จึงมีเอกลักษณ์เฉพาะไม่เหมือนใคร




อาหารไทยภาคกลาง 

        ภาคกลางเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ มีพืชผักผลไม้นานาชนิด อาหารของภาคกลางมีที่มาทั้งจากอิทธิพลจากต่างประเทศ เช่น เครื่องแกง แกงกะทิ จากชาวฮินดู การผัดโดยใช้กระทะและน้ำมันจากประเทศจีน เป็นอาหารมีการประดิษฐ์ผู้อยู่ในรั้วในวังได้คิดสร้า งสรรค์อาหารให้มีความวิจิตรบรรจง อาหารภาคกลางมักจะมีเครื่องเคียงของแนม เช่น น้ำพริกลงเรือ แนมด้วยหมูหวาน แกงกะทิแนมด้วยปลาเค็ม กุ้งนึ่งหรือปลาดุกย่าง กินกับสะเดาน้ำปลาหวาน 
        รสชาติของอาหารไม่เน้นรสใดรสหนึ่งโดยเฉพาะ จะมีรส เค็ม เผ็ด เปรี้ยว หวาน เคล้ากันไปตามชนิดของอาหาร นิยมใช้เครื่องเทศแต่งกลิ่นรส และใช้กะทิเป็นส่วนประกอบของอาหาร 




อาหารญี่ปุ่น ^^ น่ากิ๊นน่ากิน

อาหารญี่ปุ่นอยู่บนพื้นฐานของการจัดสำรับอันประกอบด้วยอาหารจานหลัก (主食 shushoku) โดยเป็นข้าวหรืออาหารเส้น ซุป และกับข้าวหรือโอะกะซุ (おかずokazu) ซึ่งทำจาก ปลา เนื้อสัตว์ ผักและเต้าหู้ ปรุงรสด้วยดะชิ (หัวเชื้อน้ำซุป) มิโซะ (เต้าเจี้ยวญี่ปุ่น) และโชยุ (ซีอิ๊วญี่ปุ่น) ทำให้อาหารญี่ปุ่นส่วนมาก มีไขมันต่ำ แต่มีปริมาณเกลือสูง


สำรับอาหารญี่ปุ่นมาตรฐานประกอบด้วยกับข้าวอย่างน้อยหนึ่งอย่าง ข้าวญี่ปุ่น (御飯 gohan) หนึ่งชาม ซุปหนึ่งถ้วย และผักดองหรือสึเกะโมะโนะ (漬物 tsukemono) เป็นเครื่องเคียง
สำรับญี่ปุ่นมาตรฐานส่วนมาก จะใช้เทคนิคการจัดที่เรียกว่า อิชิจู-ซันไซ (一汁三菜 ichijū-sansai) หรือซุปหนึ่งอย่างกับข้าวสามอย่าง กับข้าวนำมาจัดสำรับจะปรุงด้วยหลากหลายวิธี ทั้งแบบดิบ (ซะชิมิการย่าง การตุ๋นหรือการต้ม การนึ่ง การทอด การดอง หรือการยำ (สลัด) มุมมองของคนญี่ปุ่นต่ออาหารนั้นถูกสะท้อนในการจัดบทในตำราอาหารโดยจะจัดแยกตามวิธีการปรุงอาหาร ไม่ได้จัดตามประเภทวัตถุดิบ หรืออาจจัดเป็นแยกเป็นประเภท ซุป ซูชิ ข้าว อาหารเส้น และของหวาน


เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เป็นเกาะ ชาวญี่ปุ่นจึงบริโภคอาหารทะเลในปริมาณมาก ในอดีตชาวญี่ปุ่นไม่นิยมบริโภคเนื้อสัตว์ใหญ่ จนเมื่อมีการเปิดประเทศ ชาวญี่ปุ่นจึงรับวัฒนธรรมการรับประทานเนื้อสัตว์เข้ามา และเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จนปัจจุบัน
อาหารเส้นก็เป็นอาหารที่สำคัญประเภทหนึ่งในอาหารญี่ปุ่น อาจรับประทานเป็นอาหารจานเดียว จัดสำรับแทนข้าว หรือจัดคู่กับข้าวเลยก็ได้ อาหารเส้นที่เป็นที่รู้จักกันดี ได้แก่ โซบะ (เส้นเล็กสีน้ำตาล ทำจากแป้งบัควีท) และอุด้ง (เส้นหนาสีขาว ทำจากแป้งสาลี) อาหารเส้นสามารถรับประทานแบบร้อนและเย็น คู่กับน้ำซุปที่ทำจากดะชิผสมโชยุ อาหารเส้นอีกประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงศตวรรษที่ผ่านมาคือ ราเม็ง ซึ่งเป็นบะหมี่ในน้ำซุปแบบจีนที่ทำจากเนื้อสัตว์ และปรับปรุงโดยชาวญี่ปุ่นจนมีเอกลักษณ์ของตนเอง



ท่องเที่ยวในฝรั่งเศส :)

1. การนั่งรถทัวร์ชมกรุง (Double Decker Bus Tour)
            การนั่งรถทัวร์ชมกรุงเป็นสิ่งที่คุณควรทำอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับนักท่องเที่ยวที่มาปารีสเป็นครั้งแรก เพราะที่นี่จะมีรถทัวร์ที่เรียกกันว่า L'Open ทัวร์ ซึ่งเป็นรถทัวร์ที่มีดาดฟ้าอยู่ข้างบน เพื่อให้คุณได้ชมเมืองปารีสอย่างไม่มีอะไรบดบังสายตาเลย

            นักท่องเที่ยวสามารถซื้อตั๋ววันเดียวหรือสองวันก็ได้ สำหรับการนั่งรถชมเมืองใน 4 เส้นทาง โดยทันทีที่คุณซื้อตั๋วแล้ว ทางรถทัวร์จะมีชุดหูฟังให้คุณ เพื่อใช้ในการเสียบต่อกับแจ็คที่อยู่บริเวณด้านข้างของเบาะที่นั่ง ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถฟังบรรยายไปตลอดการเดินทาง โดยเลือกฟังได้ถึง 8 ภาษา คือ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาอิตาลี ภาษาเยอรมัน ภาษาสเปน ภาษารัวเซีย และภาษาจีน 



         สำหรับเคล็ดลับในการนั่งรถทัวร์ชมกรุงปารีสนั้น แนะนำให้คุณลองใช้บริการในวันธรรมดาหรือเช้าวันหยุดสุดสัปดาห์จะดีที่สุด เพราะหากใช้บริการในช่วงเวลาอื่นคนจะแน่นมาก และคุณอาจจะได้ยืนในห้องยืนที่จัดไว้รองรับเวลาที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก นอกจากนี้ หากคุณใช้บริการช่วงคนน้อย คุณสามารถที่จะเปลี่ยนแจ็กหูฟังของคุณได้ในกรณีที่ใช้หูฟังต่อกับแจ็กบางตัวไม่ได้อีกด้วย

2. ชมทิวทัศน์จากด้านบนของหอไอเฟล (Eiffel Tower)

            หอไอเฟลไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองปารีสเท่านั้น หากแต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสด้วย ดังนั้น หากนักท่องเที่ยวคนใดไม่ได้ไปเยือนหอไอเฟล ถือว่าไปไม่ถึงฝรั่งเศสเลยทีเดียว ทำให้ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวกว่า 60 ล้านคน ไปเยือนหอไอเฟล โดยนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นชมทัศนียภาพรอบกรุงปารีสได้ เพียงแค่ซื้อบัตรที่บูธซึ่งอยู่บริเวณฐานของหอไอเฟล แล้วขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นต่าง ๆ ของหอไอเฟล



3. ล่องเรือในแม่น้ำเซน ชมพระอาทิตย์ตกดิน (Sunset River Cruise on the Seine)
            การล่องเรือในยามใกล้ค่ำเป็นทางเลือกที่ดีมาก หากคุณอยากจะชมทิวทัศน์ยามราตรีของกรุงปารีส โดยเรือจะล่องจากหอไอเฟล ผ่านสถานที่ที่น่าสนใจสองฝั่งแม่น้ำเซน รวมถึงผ่านโบสถ์นอทเทอร์ดัมด้วย 



              สำหรับเคล็ดลับของการนั่งเรือชมพระอาทิตย์ตกดินนั้น แนะนำให้คุณไปก่อนเวลาขายตั๋ว เพื่อที่จะได้เลือกที่นั่งหลังก่อนนักท่องเที่ยวคนอื่น ซึ่งที่นั่งด้านหลังสุดนี้จะเป็นบริเวณที่ไม่มีหลังคา ไม่ล้อมด้วยกระจก และบริเวณนี้คือจุดที่ดีที่สุดสำหรับการถ่ายภาพสวย ๆ ของเมืองปารีสยามพระอาทิตย์ตก


4. โบสถ์นอทเทอร์ดัม (Notre Dame Cathedral)
            โบสถ์นอทเทอร์ดัมเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของกรุงปารีส เพราะเป็นสถานที่ที่อยู่คู่กับเมืองปารีสมาช้านาน และมีชื่อเสียงด้านความใหญ่โตหรูหรา มีสถาปัตยกรรมที่งดงามมาก โดยการเที่ยวชมนั้นนักท่องเที่ยวจะได้เห็นความอลังการของโบสถ์นอทเทอร์ดัม อีกทั้งยังต้องขึ้นบันได 387 ขั้นเพื่อไปถึงยอดของโบสถ์










วัดร่องขุ่น

            เราขอแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามที่สุดในประเทศในในสายตาเราเลยก็ว่าได้วัดร่องขุ่น
โดยเมื่อไปจังหวัดเชียงรายจะอยู่ซ้ายมือ แปลกใจใช่ไหมหล่ะว่าทำไม วัดสีขาว
วัดนี้้เป็นวัดที่ออกแบบก่อสร้างโดยอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
ซึ่งปรารถนาจะสร้างวัดให้เหมือนเมืองสวรรค์ที่มนุษย์สัมผัสได้
โดยเริ่มสร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2540 จากเดิมมีเนื้อที่ 3 ไร่ ได้ซื้อที่ดินเพิ่มและมีผู้บริจาคคือคุณวันชัย วิชญชาคร
จนปัจจุบันมีเนื้อที่ 9 ไร่ และมีพระกิตติพงษ์ กัลยาโณ รักษาการเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน